โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ “อาการบ้านหมุน” หรือ “เวียนหัวบ้านหมุน” ที่หลายคนเคยได้ยิน หรือบางคนเคยเป็น คือหนึ่งในอาการของโรค บางคนอาจแค่นั่งพักอาการนี้ก็หายไป แต่บางคนอาจเวียนศีรษะอย่างรุนแรงและมีอาเจียนร่วมด้วย ดังนั้นหากอาการไม่ดีขึ้น หรือรู้สึกว่าอาการที่เป็นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันก็อย่านิ่งนอนใจ หากเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดจะเป็นการดีที่สุด
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน คืออะไร
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคมีเนีย (Meniere’s disease) เกิดขึ้นจากความผิดปกติของน้ำในหูชั้นในที่มีแรงดันของน้ำในหูมากเกินปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ จนเหมือนกับบ้านหมุนไปด้วย บางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไม่สามารถทรงตัวได้ รวมไปถึงปัญหาจากระบบการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงลดลงมีเสียงรบกวนในหู และหูอื้อ แต่อาการผิดปกติดังกล่าวอาจพบได้ในโรคของหูชั้นนอกหรือชั้นกลาง รวมทั้งโรคทางสมองและระบบเส้นประสาทก็ได้ ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาที่เหมาะสม
อาการของโรค
จะประกอบด้วยอาการสำคัญ 3 อาการคือ เวียนศีรษะ (vertigo) มีเสียงดังในหู (tinnitus) และการได้ยินลดลง (hearing loss) ซึ่งแตกต่างจากการเวียนหัวธรรมดาที่จะมีเพียงอาการเวียนหัวเพียงอาการเดียวเท่านั้น
- ลักษณะการเวียนศีรษะ
คือ มีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน ส่วนใหญ่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่บางครั้งอาจมีอาการนานเป็นชั่วโมงได้ อาการเวียนศีรษะเป็นอาการที่รบกวนผู้ป่วยมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ต้องนอนพัก
- ลักษณะการได้ยินที่ลดลงของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั้น
มีอาการหูอื้อ ได้ยินไม่ชัด รู้สึกแน่นในหูเป็นๆหายๆ บางครั้งการได้ยินดีขึ้น บางครั้งการได้ยินเลวลง ในระยะแรกเริ่มมักมีการเสียของประสาทหูที่ความถี่ต่ำก่อน แต่ในระยะยาวแล้วระดับการได้ยินจะแย่ลงเรื่อย ๆ อาจถึงขั้นหูหนวกได้ ในระยะแรกอาจมีอาการที่หูข้างเดียว ในระยะหลังอาจมีอาการที่หูทั้งสองข้าง มีอาการปวดหู หรือปวดศีรษะข้างที่เป็นด้วยได้
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัว และการได้ยิน จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้
- เวียนศีรษะอย่างรุนแรง รู้สึกบ้านหมุน โดยมีอาการอยู่นาน อาจจะเป็นชั่วโมง ซึ่งอาการจะมาๆ หายๆ
- บางครั้งจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับการสูญเสียสมดุลของร่างกาย จึงทำให้เซล้มได้ง่าย
- หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด รู้สึกแน่นในหูเป็นๆ หายๆ การได้ยินบางครั้งดีขึ้น บางครั้งก็แย่ลง
- มีเสียงดังในหู อาจเป็นเสียงวี้ดๆ มีอาการหนักๆ หน่วงๆ ในหู คล้ายมีแรงดันในหู
สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
ปัจจุบันยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากสาเหตุใด แต่มีหลายปัจจัยที่เป็นส่วนสำคัญในการเกิดโรค เช่น
- โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากกรรมพันธุ์
พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีคนในครอบครัวเป็นไมเกรน หรือมีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติ - โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
หูชั้นกลาง หูชั้นในเกิดการอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ - โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากการเป็นโรคต่างๆ
โรคภูมิแพ้ โรคซิฟิลิส โรคหูน้ำหนวก โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ และไขมันในเลือดสูง - โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากฮอร์โมน
มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน รวมถึงการมีประจำเดือน - โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากพฤติกรรม
การพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียด สูบบุหรี่ รวมถึงการรับประทานอาหารโซเดียมสูง และอาหารรสเค็มจัด - โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากสภาพแวดล้อม
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังอึกทึกมากๆ
วิธีการรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
แพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ตรวจและรักษาผู้ป่วยตามอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันที่ประเมินได้ในแต่ละราย เช่น
- ปรับพฤติกรรม
หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะแนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกาย และพยายามคลายความวิตกกังวล - การรับประทานยา
เป็นการบรรเทาอาการ เช่น การทานยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวม และการคั่งของน้ำในหูชั้นใน รวมทั้งยาขยายหลอดเลือดจะช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนยากล่อมประสาทและยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด - การฉีดยา
แพทย์จะทำการฉีดยาเข้าไปที่หูชั้นในโดยตรง เพื่อทำลายเซลล์ที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ และเมื่อเซลล์ตายอาการดังกล่าวจะหายไป โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดรักษา - การผ่าตัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะไม่หาย มีอาการรุนแรง รักษาด้วยวิธีต่างๆ แล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำที่คั่งอยู่ในหูชั้นในออก
ประกอบด้วยการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเวลาเวียนศีรษะ การให้ยาบรรเทาอาการ
1. การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเวลาเวียนศีรษะ
- เมื่อมีอาการเวียนศีรษะขณะเดิน ควรหยุดเดินและนั่งพัก เพราะการฝืนเดินขณะเวียนศีรษะ อาจทำให้ผู้ป่วยล้ม เกิดอุบัติเหตุได้ เช่นกัน ถ้าอาการเวียนศีรษะเกิดขณะขับรถ หรือขณะทำงาน ควรหยุดรถข้างทาง หรือหยุดการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกล ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าเวียนศีรษะมากควรนอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น พื้น และผู้ป่วยควรมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว
- รับประทานยาที่แพทย์ให้รับประทานเวลาเวียนศีรษะ
- พยายามอย่ารับประทานหรือดื่มมากนัก จะได้มีโอกาสอาเจียนน้อยลง
- หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยทางเรือ เพราะจะทำให้มีอาการเวียนศีรษะมากขึ้นได้
- ถ้าอาการเวียนศีรษะน้อยลง ค่อย ๆ ลุกขึ้น แต่อาจรู้สึกง่วงหรือเพลียได้ แนะนำให้นอนหลับพักผ่อน ถ้าง่วงหลังตื่นนอน อาการมักจะดีขึ้น
2. การให้ยาบรรเทาอาการ และรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
- ควรจำกัดความเค็ม เพราะความเค็มหรือเกลือโซเดียมที่มีปริมาณมากขึ้นในร่างกาย จะทำให้มีน้ำคั่งในร่างกาย และในหูชั้นในมากขึ้น อาจทำให้อาการผู้ป่วยแย่ลงได้
- ให้ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ อาเจียน
- การรับประทานยาขยายหลอดเลือด(ฮิสตะมีน) จะช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น
- ถ้าผู้ป่วยหายเวียนศีรษะแล้ว ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นใน
- หลีกเลี่ยงสารคาเฟอีน (ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม และกาแฟ) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และความเครียด ซึ่งจะทำให้อาการของผู้ป่วยโรคนี้แย่ลง เนื่องจากจะไปลดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เมื่อเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ต้องดูแลตัวเองและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างชา กาแฟ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกหมู่
- หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากมีเสียงรบกวนในหูขณะนอนหลับ ให้เปิดเพลงคลอเบาๆ เพื่อกลบเสียงนั้น
- พยายามหากิจกรรมเพื่อคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล
- หากผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะกะทันหัน ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือการปีนป่ายที่สูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเสี่ยงอันตรายได้
การวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันได้จากการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด และการตรวจร่างกาย ถ้าผู้ป่วยมาด้วยอาการดังกล่าว แพทย์ก็มักให้การวินิจฉัยได้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยประมาณ 50% เท่านั้นที่มีอาการดังกล่าวเด่นชัด ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่ชัดเจนก็จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและแยกจากโรคหรือภาวะต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การซักประวัติอาการ เช่น ลักษณะอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน ความรุนแรงของอาการ ระยะเวลาและความถี่ของอาการทางหู
- การซักประวัติสุขภาพ เช่น ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต, ประวัติโรคซิฟิลิส, ประวัติการผ่าตัดหู, โรคทางระบบประสาท, โรคภูมิแพ้, โรคภูมิคุ้มกัน, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคไทรอยด์, โรคคางทูม, โรคการอักเสบของตา เป็นต้น
- การตรวจร่างกาย เช่น การตรวจหู คอ จมูก และระบบประสาท, การตรวจระบบสมดุลของร่างกาย, การตรวจดูการเคลื่อนไหวของลูกตาในท่าทางต่าง ๆ, การวัดความดันโลหิตในท่านอน ท่านั่ง และท่ายืน (เพื่อตรวจหาความดันเลือดต่ำในขณะเปลี่ยนท่า) เป็นต้น
- การตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry), การตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวของหูชั้นใน (Electronystagmography – ENG), การตรวจคลื่นไฟฟ้าในหูชั้นใน (Electrocochleography – ECOG) ถ้าตรวจออกมาได้ผลบวกจะค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ป่วยเป็นโรคนี้, การตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (Auditory Brainstem Response – ABR), การเจาะเลือด (เพื่อหาภาวะซีด เลือดข้น มะเร็งเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดมากผิดปกติ ระดับไขมันในเลือดสูง ระดับยูริกในเลือดสูง เบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำเกินไป โรคไต โรคภูมิแพ้ตัวเอง การติดเชื้อซิฟิลิสหรือเอดส์ การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่ผิดปกติ), การตรวจปัสสาวะ (เพื่อดูว่ามีโรคไตหรือไม่), การถ่ายภาพรังสีกระดูกคอ, การตรวจพิเศษทางรังสี (เฉพาะในรายที่สงสัยว่าอาจมีเนื้องอกของเส้นประสาทการทรงตัวหรือความผิดปกติทางสมอง เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) หรือตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)), การตรวจการไหลเวียนของเลือดผ่านเส้นเลือดใหญ่ไปสู่สมอง โดยใช้อัลตราซาวนด์ (สามารถบอกแรงดันเลือด ความเร็วของการไหล และความไม่สมดุลของการไหลเวียนของเลือดได้), การตรวจหาความผิดปกติของหัวใจ (EKG) เป็นต้น
หากไม่อยากเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ต้องหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพให้มากขึ้น จัดสรรเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ กับคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวเพื่อเติมความสุขความสดใสให้สุขภาพใจ เมื่อร่างกายแข็งแรง ใจแข็งแกร่ง โรคใดๆ ก็ยากที่จะเข้ามากล้ำกรายได้
เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- กรดไหลย้อน เกิดจากสาเหตุหลักคือกินแล้วนอน
- พังผืดทับเส้นประสาท มีอาการและวิธีรักษาอย่างไร
- แพ้อาหาร มีอาการอย่างไร
- ภาวะหมดไฟ โรคอุบัติใหม่ที่ต้องรับมือ
ที่มาของบทความ
ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ theboxticked.com
สนับสนุนโดย ufabet369